Supper User https://chombunghospital.com Sun, 22 May 2022 23:15:56 +0700 Joomla! - Open Source Content Management en-gb CQI : การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ( CKD Clinic ) “ คลินิก รักษ์ไต ” https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/13-ckdcqi https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/13-ckdcqi CQI : การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ( CKD Clinic ) “ คลินิก รักษ์ไต ”

CQI : การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ( CKD Clinic ) คลินิก รักษ์ไต

1.ชื่อผลงาน / โครงการพัฒนา :

การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ( CKD Clinic ) คลินิก รักษ์ไต

2.คำสำคัญ

พัฒนาระบบ , การดูแลผู้ป่วยโรคไต , โรคไตเรื้อรัง , CKD

3.สรุปผลงานโดยย่อ

โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease ; CKD) เป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขของโลก รวมถึงประเทศไทย เนื่องจากเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรคหรือไตวายระยะสุดท้าย (end stage renal disease ; ESRD) ซึ่งจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต (renal replacement therapy) ได้แก่ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) การล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis) หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต (kidney transplantation)

การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของไต เพื่อไม่ให้เกิดโรคไตวายระยะสุดท้าย และป้องกันหรือควบคุมความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดที่อาจเกิดขึ้น ไม่ให้รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น รวมถึงลดภาระทางเศรษฐกิจจากการบำบัดทดแทนไต ซึ่งเป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง

ดังนั้น งานโรคไม่ติดต่อ NCD โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง จังหวัดราชบุรี เล็งเห็นว่า ควรมีการจัดตั้งคลินิกโรคไตเรื้อรังขึ้น (CKD Clinic) เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ช่วยชะลอการดำเนินไปของโรค ช่วยแนะนำให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลตนเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน ตลอดจนติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องและส่งต่อการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ

4.ชื่อและที่อยู่องค์กร

พัชรินทร์ ปัญญาเครือ (ผู้นำเสนอ) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง บ้านเลขที่ 5 ม.8 ต.จอมบึง อ.จอมบึง

จ.ราชบุรี 70150

5.สมาชิกทีม / ชื่อหน่วยงาน

1. นายดิษฐวัฒน์ ปฐมเจริญสุขชัย ตำแหน่ง นายแพทย์

2. นางสาวพัชรินทร์ ปัญญาเครือ ตำแหน่งเภสัชกร

3. นางพวงเงิน พานทอง ตำแหน่ง พยาบาล

4. นางสาวอัจฉราพร สุดไธสง ตำแหน่ง นักแพทย์แผนไทย

6.เป้าหมาย

1.เพื่อชะลอการดำเนินไปของไต และ ป้องกันผู้ป่วย CKD Stage 3 เข้าสู่ Stage 4 และ 5 ตามลำดับ

2.เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังแก่ผู้ป่วย รวมถึงการดูแลรักษาตัวเองอย่างเหมาะสม

3.เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน

4.การติดตาม และการส่งต่อเพื่อการบำบัดทดแทนไต

7.ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ

1.การให้การบริการและการดูแลผู้ป่วย ยังไม่ครอบคลุมในทุกๆด้าน ( ขาดด้านโภชนาการ )

2.ผู้ป่วยขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแล และปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคไตเรื้อรัง

3.ผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

8.กิจกรรมการพัฒนา

1.ประชุม หารือกับทีมสหวิชาชีพ เกี่ยวกับการจัดตั้ง CKD Clinic และแต่งตั้งคณะกรรมการ

2.กำหนด บทบาทหน้าที่ ของแต่ละสาขาวิชาชีพ ในการปฏิบัติงาน CKD Clinic

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Wed, 22 May 2019 15:35:04 +0700
กระทรวงกลาโหม และ"เจ้าชายแฮรี่" นำคณะนายทหารและข้าราชการของกระทรวงปฏิบัติสมาธิภาวนา https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/12-sciharry https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/12-sciharry กระทรวงกลาโหม และ

ตั้งแต่ปีที่แล้ว เจ้าชายแฮรีและคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ได้มีแนวคิดรณรงค์ชักชวนให้สมาชิกในกองทัพฝึกสมาธิตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการฝึกการเจริญสต

ปีนี้ จึงมีคณะนายทหารและข้าราชการในกระทรวงกลาโหมอังกฤษไม่น้อยกว่า 150 คนไปปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเจริญสติ

ปัจจุบันมีนายทหารในกองทัพอังกฤษไม่น้อยกว่า 4,000 นายประกาศตนเป็นพุทธมามกะและปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็นประจำ สาระสำคัญก็คือการฝึกจิตให้มั่นคง เพื่อช่วยลดความเครียดในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

ก่อนหน้านี้ นักวิจัยอังกฤษค้นพบว่าการเจริญสติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิภาวนาในพระพุทธศาสนาสามารถทำให้ผู้คนประสบความสุขได้จริง จึงเริ่มมีการรณรงค์ให้การเจริญสติเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมประจำวัน เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย

ที่มา : https://www.forces.net/news/meditating-mod-military-personnel-try-mindfulness

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Tue, 28 Aug 2018 16:22:55 +0700
“วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการทำสมาธิ” https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/11-sci https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/11-sci “วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการทำสมาธิ”

เป็นสิ่งที่ “ตะลึงโลก” ก็ว่าได้ เมื่อ “TIME Magazine” ฉบับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ได้อุทิศเนื้อหา “กว่าสิบหน้ากระดาษ” พร้อม “ภาพประกอบสี่สี” เป็นจำนวนมาก ให้แก่เรื่องราวที่เป็น “แนวโน้มใหม่” ของมวลมนุษยชาติ

นั่นก็คือ “สกู๊ปพิเศษ” ว่าด้วย “The Science of Meditation” หรือ... “วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการทำสมาธิ”

TIME Magazine "พาดหัว" ไว้อย่าง "น่าทึ่ง" ว่า ...

"นักวิทยาศาสตร์" ก็ "ศึกษาวิจัย" เรื่องสมาธิ...
"แพทย์" ก็ "เชียร์" ให้นั่งสมาธิ...
"ชาวอเมริกัน...นับสิบล้านคน" ก็ "นั่งสมาธิ... ทุกวัน"

ในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันสิบล้านคน นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นสองเท่าของสิบปีก่อน สถานที่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น ที่นิวยอร์ก เปลี่ยนเป็นที่นั่งสมาธิหลายแห่ง จนคนเรียกแถบนั้นว่า เป็น แถบของชาวพุทธ

นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า นักกฎหมาย นักธุรกิจ คนทำงานสาขาอาชีพต่าง ๆ นั่งสมาธิตามที่หน่วยงานของตนจัดให้นั่งอย่างสม่ำเสมอ ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็นั่งสมาธิ

แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่ง

คนไม่เชื่อเรื่องสมาธิกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว คนเหล่านี้นั่งสมาธิ เพราะ ทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำให้สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น

======

ภาพจาก www.orami.co.th

ภาพจาก www.orami.co.th



การนั่งสมาธิทำให้ร่างกายมีสภาวะเหมือนก่อนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ และทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส สมาธิยังช่วยขจัดความขัดแย้งในจิตใจ ทำให้ใจอยู่นิ่ง ท่ามกลางความสับสนว่าจะเอาอย่างไรดี

เมื่ออยู่นิ่งแล้วจะเข้าใจสถานการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ยอมรับมันด้วยความสงบและมีความสุขมากขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้แพทย์แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด เข้าใจว่า ทำไมมนุษย์ถึงนั่งสมาธิมาหลายพันปีแล้ว

แพทย์ก็แนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิเป็นประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จากการสแกนคลื่นสมอง พบว่า...

สมองจะมีระบบปิดกั้นเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามา และไม่ส่งเรื่องเข้าไปย่อยในส่วนลึกของเนื้อสมองอย่างเคย แต่ทำให้ระบบลิมบิค ซึ่งเป็นส่วนควบคุมด้านอารมณ์และความจำดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ลมหายใจ และการเผาผลาญในร่างกายเป็นปกติ

======


สมาธิช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้น สามารถรักษาโรคร้ายแรงเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เอดส์ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคใจสั่น

คนไข้โรคมะเร็ง เอดส์ และเจ็บปวดเรื้อรัง ๑๔,๐๐๐ คน ไม่ต้องกินยาแก้ปวด สมาธิยังรักษาจิตใจที่ปั่นป่วน กดดัน สมาธิสั้น วุ่นวายไม่อยู่นิ่งอีกด้วย

นอกจากนี้ พลังของสมาธิยังสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบร้อนแดงให้มีผิวใสขึ้นเป็น ๔ เท่าของผู้ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ

นักเขียนที่เคยกินยาแก้เครียดมาเกือบจะตลอดชีวิต เมื่อนั่งสมาธิก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป

ผู้กำกับการแสดงและดาราภาพยนตร์ ฮอลลีวู้ด ก็นั่งสมาธิ ทำให้ลดความกดดันจากอาชีพและความเป็นคนดังมีชื่อเสียง

และทำให้มีความสุขมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น พัฒนาบุคลิกภาพให้สง่างามและดูมีอำนาจมากขึ้น มองเห็นตัวเองได้มากขึ้น และรู้ว่าควรแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่นั่งเงียบ และทำให้จิตใจสงบเท่านั้น

นักการเมืองที่มีชื่อเสียง เช่น ฮิลลารี คลินตัน พูดถึงสมาธิ อัล กอร์ นั่งสมาธิและแนะนำให้ทุกคนนั่งสมาธิด้วย

======


Credit : นิตยสาร ไทมส์ ฉบับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Tue, 28 Aug 2018 15:23:01 +0700
แก้อักเสบด้วย....การพอกเข่า https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/10-knee https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/10-knee แก้อักเสบด้วย....การพอกเข่า

1.โรคลมจับโปง

เป็นบริเวณข้อเข่า เนื่องจากการบาดเจ็บหรือกระทบ กระเทือนที่ทำให้มีการอักเสบเฉียบพลันจนถึงเรื้อรัง และเกิดการติดขัดของข้อเข่า สาเหตุ วัยทอง โรคอ้วน รับประทานอาหารแสลงมาก อากาศ พฤติกรรม ท่าทาง การใช้งานเข่ามากเกินไป อาการ ปวดบริเวณข้อเข่าขณะขยับก้าวเดินหรือเปลี่ยนอิริยาบถ/มีการผิดรูปของข้อเข่า ขาผิดรูป

ประเภทลมจับโปง แบ่งเป็น 2 ชนิด

1.1) ลมจับโปงน้ำเข่า

อาการ : มีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อเข่ามาก เป็นทั้งข้อ มีน้ำในข้อเข่า เดินกระเพลก ลงน้ำหนักได้ไม่เต็มที่ บางคนอาจจะมีอาการไข้เรียกว่าไข้ลมจับโปง

1.2) ลมจับโปงแห้งเข่า

อาการ : มีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อเข่าเพียงเล็กน้อย แต่จะมีภาวะเข่าติดขาโก่ง ขณะเดินในเข่าจะมีเสียงดังกร๊อบแก๊รบ อาการปวดมากเวลาเปลี่ยนอิริยาบถ และก้าวขึ้นบันได

การพอกเข่า : เพื่อลดอาการอักเสบ และปวดข้อเข่า

ตัวยาที่ใช้ในการพอกเข่า : ยาห้าราก และฟ้าทะลายโจร

วิธีทำ : นำตัวยาทั้งหมดมาบดเป็นผงในสัดส่วนเท่าๆกัน ผสมแอลกอฮอร์ 95 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นนำตัวยาพอกที่ข้อเข่า และใช้พลาสติกแลปพัน ทิ้งไว้ประมาณ 30- 60 นาที

ข้อมูลจากงานแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชจอมบึง

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Wed, 18 Apr 2018 10:47:34 +0700
ยาล้างไต กับความเข้าใจผิดๆ https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/8-kidney https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/8-kidney ยาล้างไต กับความเข้าใจผิดๆ

บ่อยครั้งที่มีผู้ป่วยมาขอซื้อยาล้างไตที่ร้านยาด้วยวัตถุประสงค์แตกต่างกัน เช่น บางรายมีอาการปวดบริเวณเอวด้านหลังและกลัวว่าจะเป็นโรคไต จึงอยากได้ยาล้างไตเพื่อล้างทำความสะอาดและขับสารพิษออกจากไต หรือบางรายมีอาการปัสสาวะแสบขัดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน จึงอยากได้ยาล้างไตโดยเข้าใจว่าจะสามารถล้างภายในอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะให้สะอาดได้ อย่างไรก็ตาม “ยาล้างไต” ที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากนั้น จริงๆแล้วเป็นยาที่มีข้อบ่งใช้สำหรับ “ขับปัสสาวะและบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ” เนื่องจากในตำรับยาประกอบด้วยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และขับปัสสาวะ ดังแสดงในตาราง นอกจากนี้ ยังมีการเติมสีเข้าไป เช่น เมทิลีนบลู (methylene blue หรือ methylthioninium chloride) ซึ่งเป็นสารสีน้ำเงิน เมื่อรับประทานยา ปัสสาวะจะมีสีน้ำเงินหรือเขียว ขึ้นกับสีพื้นเดิมของปัสสาวะว่าใสหรือเหลือง จึงอาจทำให้ผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่ายาไปขับสารพิษหรือสิ่งสกปรกภายในไตและทางเดินปัสสาวะออกมา



จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่ายาสูตรผสมนี้ไม่มีสรรพคุณช่วยล้างไตแต่อย่างใด จึงไม่ควรเรียกว่า “ยาล้างไต” นอกจากนี้ หากใช้ยานี้อย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้

  1. ไม่ได้ผลในการรักษาโรค เช่น หากอาการปวดเอว หรืออาการปัสสาวะขัดนั้นมีสาเหตุจากนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ยานี้คงไม่สามารถรักษาให้หายได้
  2. ได้รับผลเสียจากยา เช่น สารเมทิลีนบลู ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ไตบกพร่องรุนแรง และไม่ควรใช้ในผู้ที่มีภาวะพร่องเอ็นไซม์จีซิกพีดี (G6PD deficiency) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย อีกทั้ง สารดังกล่าวอาจตีกับยาบางชนิด เช่น หากใช้ร่วมกับยาต้านอาการซึมเศร้า อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจากยาต้านอาการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสแพ้ส่วนประกอบอื่นๆในตำรับยาอีกด้วย



ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยและมีความประสงค์ที่จะใช้บริการร้านยา ผู้ป่วยควรแจ้งอาการเจ็บป่วยที่เป็น ให้เภสัชกรทราบ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการรักษาและการใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสม หรือควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการหรือโรคนั้นๆ

เอกสารอ้างอิง

  1. ฐานข้อมูลทะเบียนตำรับยา สำนักยา, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข. Available from: https://fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp
  2. Head KA. Natural approaches to prevention and treatment of infections of the lower urinary tract. Altern Med Rev. 2008;13(3):227-244.
  3. Srinivasan K. Biological activities of pepper alkaloids. In: Natural products. Ramawat KG and Me´rillon JM, eds. New York: Springer-Verlag Berlin Heidelberg; 2013:1397-1437.
  4. Gemmill CL. The pharmacology of squill. Bull N Y Acad Med. 1974;50(6):747-750.
  5. Butler AR, Feelisch M. Therapeutic uses of inorganic nitrite and nitrate: from the past to the future. Circulation. 2008;117(16):2151-2159.
  6. Ginimuge PR, Jyothi SD. Methylene blue: revisited. J Anaesthesiol Clin Pharmacol. 2010;26(4):517-520.

บทความดีๆจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหิดล--LINK ไปยังแหล่งที่มา

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Tue, 31 May 2016 18:57:19 +0700
ปวดท้อง...แต่อยากพึ่งสมุนไพรไทย https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/7-herbpain https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/7-herbpain ปวดท้อง...แต่อยากพึ่งสมุนไพรไทย

ปัจจุบันหากพูดถึงอาการท้องอืดเรามักจะนึกถึงยาแผนปัจจุบัน หรือยาสามัญประจำบ้าน แต่ถ้าหากเรามีเกิดท้องอืดบ่อยหละเราจะทำเช่นไร
บางครั้งสมุนไพรอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ หรือแม้กระทั่งอาหารที่มาจากสมุนไพรที่เรากินกันทุกวัน ก็อาจสามารถตอบโจทย์ท่านได้
ดังนั้นวันนี้เราจะมาเสนอสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยขับลมแก่ท่าน

{edsnewanimate|class="eds-animate edsanimate-sis-hidden "|data-eds-entry-animation="fadeInDown"|data-eds-entry-delay="1"|data-eds-entry-duration="0.5"|data-eds-entry-timing="linear"|data-eds-exit-animation=""|data-eds-exit-delay=""|data-eds-exit-duration=""|data-eds-exit-timing=""|data-eds-repeat-count="1"|data-eds-keep="yes"|data-eds-animate-on="scroll"|data-eds-scroll-offset="75"}

{/edsnewanimate}

1.กระเทียมสด

เพียงแค่ทานกระเทียมสด 5 กลีบ กระเทียมจะช่วยไล่ลม แล้วท่านจะรู้สึกดีขึ้น

2.กระเพรา

นอกจากที่ท่านรับประทานจากอาหารยอดฮิตเช่นผัดกระเพราแล้ว ท่านยังสามารถนำใบสดมาต้มกับน้ำดื่มเพื่อช่วยขับลมได้อีกด้วย

{edsnewanimate|class="eds-animate edsanimate-sis-hidden "|data-eds-entry-animation="fadeInDown"|data-eds-entry-delay="1"|data-eds-entry-duration="0.5"|data-eds-entry-timing="linear"|data-eds-exit-animation=""|data-eds-exit-delay=""|data-eds-exit-duration=""|data-eds-exit-timing=""|data-eds-repeat-count="1"|data-eds-keep="yes"|data-eds-animate-on="scroll"|data-eds-scroll-offset="75"}

{/edsnewanimate}

{edsnewanimate|class="eds-animate edsanimate-sis-hidden "|data-eds-entry-animation="fadeInDown"|data-eds-entry-delay="1"|data-eds-entry-duration="0.5"|data-eds-entry-timing="linear"|data-eds-exit-animation=""|data-eds-exit-delay=""|data-eds-exit-duration=""|data-eds-exit-timing=""|data-eds-repeat-count="1"|data-eds-keep="yes"|data-eds-animate-on="scroll"|data-eds-scroll-offset="75"}

{/edsnewanimate}

3. ขมิ้นชัน

นำเหง้าขมิ้นมาหั่นชิ้นบางๆตากแดดให้แห้งแล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาผสมน้ำผึ้ง แล้วปั้นเป็นยาเม็ดเล็กๆ ทานวันละ 3-4 ครั้งจะช่วยบรรเทาอาการได้

4. ตะไคร้

นำต้นแก่ของตะไคร้ประมาณ 1 กำมือมาทุบพอแหลก นำไปต้มกับน้ำ ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง ตะไคร้มีฤทธิ์ที่ทำให้ระบบย่อยทำงานอย่างเป็นระบบ จึงบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้

{edsnewanimate|class="eds-animate edsanimate-sis-hidden "|data-eds-entry-animation="fadeInDown"|data-eds-entry-delay="1"|data-eds-entry-duration="0.5"|data-eds-entry-timing="linear"|data-eds-exit-animation=""|data-eds-exit-delay=""|data-eds-exit-duration=""|data-eds-exit-timing=""|data-eds-repeat-count="1"|data-eds-keep="yes"|data-eds-animate-on="scroll"|data-eds-scroll-offset="75"}{/edsnewanimate}

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) สมุนไพร Tue, 31 May 2016 18:57:19 +0700
ยาก่อนอาหาร ยาหลังอาหาร ลืมกินยาตามเวลา อันตรายหรือไม่ https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/6-afterbefore https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/6-afterbefore ยาก่อนอาหาร ยาหลังอาหาร ลืมกินยาตามเวลา อันตรายหรือไม่

ปัญหาที่มักพบเสมอเวลาจะรับประทานยา คือ ต้องรับประทานก่อนหรือหลังอาหาร และก่อนอาหารนานเท่าไหร่ หลังอาหารกี่นาที ก่อนนอนนานแค่ไหน ถ้าลืมแล้วจะทำอย่างไร บทความนี้จึงขอสรุปหลักการและหลักปฏิบัติที่ถูกต้องทั่วไปของวิธีการรับประทานยาเหล่านี้


1. ยาก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหาร อย่างน้อย ๓๐ นาที

ยาที่รับประทานก่อนอาหาร ควรรับประทานในช่วงที่ท้องว่าง ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ซึ่งก็คือก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย ๓๐ นาที เนื่องจาก

  • ยาอาจถูกทำลายและเสียประสิทธิภาพในการรักษา เมื่อพบกับกรดปริมาณมากที่กระเพาะอาหารจะหลั่งออกมาหลังมื้ออาหาร การรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง ทำให้ยาไม่ถูกทำลาย และประสิทธิภาพของยาไม่ลดลง
  • อาหารและส่วนประกอบของอาหารอาจลดการดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถรับประทานยาพร้อมหรือหลังอาหารได้
  • ยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน รวมทั้งยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการหลั่งอินซูลิน จะใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาทีก่อนที่จะออกฤทธิ์ การรับประทานยาก่อนอาหารจึงเป็นเสมือนการเตรียมพร้อมให้ระบบทางเดินอาหาร ก่อนจะรับประทานอาหาร

การลืมรับประทานยาก่อนอาหาร

ถ้าลืมรับประทานยาก่อนอาหาร หรือนึกได้ว่าต้องรับประทานยาก่อนที่จะทานอาหารไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การทานยาก่อนอาหารทันที จึงไม่ต่างกับการรับประทานยาหลังอาหาร ควรข้ามยามื้อที่ลืมไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ออกฤทธิ์เพิ่มการหลั่งอินซูลิน กรณียาที่รับประทานก่อนอาหารเพราะยาจะถูกทำลายหรืออาหารอาจลดการดูดซึมของยา อาจรอให้กระเพาะอาหารว่างก่อนแล้วค่อยรับประทานยาก็ได้ ซึ่งก็คือประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร แต่ยาที่ต้องรับประทานในมื้อถัดไปอยู่แล้ว ให้ทานยาก่อนอาหารมื้อถัดไปแทนได้เลย ไม่ต้องทานยาซ้ำ

2. ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันทีและไม่ควรนานเกิน ๑๕ นาทีหลังอาหาร

ยาหลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารทันที อาจทานพร้อมอาหารหรือก่อนรับประทานอาหารคำแรกก็ได้ เพราะไม่ว่าจะกรณีใด ยาจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารที่รับประทานเหมือนๆ กัน ยาที่ควรรับประทานหลังอาหาร เนื่องจาก

  • ยามีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน การรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
  • ต้องการกรดในกระเพาะอาหารช่วยในการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งสูงสุดในระหว่างที่รับประทานอาหารเท่านั้น

การลืมรับประทานยาหลังอาหาร

ถ้าลืมรับประทานยาหลังอาหาร สามารถรับประทานยาได้ทันทีที่นึกได้และไม่เกิน ๑๕ นาที แต่ถ้านึกได้หลังจากรับประทานอาหารมากกว่า ๑๕ นาทีแล้ว ควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก

3. ยาก่อนนอน ควรรับประทานยาก่อนเข้านอน ๑๕ – ๓๐ นาที

ยาที่แนะนำให้รับประทานก่อนนอนมีหลายประเภท แต่โดยทั่วไป ควรรับประทานก่อนนอน ๑๕ – ๓๐ นาที เนื่องจาก

  • ยามีผลข้างเคียงสำคัญคือทำให้ง่วงนอนหรือวิงเวียนศีรษะมาก ถ้ารับประทานก่อนนอนนานเกินไป อาจส่งผลต่อให้ผู้รับประทานยาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กรณีที่ยังไม่พร้อมจะเข้านอน
  • ยาที่ช่วยให้นอนหลับ มักใช้เวลาประมาณ ๑๕ – ๓๐ นาทีก่อนที่จะออกฤทธิ์ช่วยให้หลับ

การลืมรับประทานยาก่อนนอน

ถ้าลืมรับประทานยาก่อนนอน มักนึกได้เมื่อถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่ควรรับประทานยานั้นอีก ควรรอให้ถึงเวลาก่อนเข้านอนในคืนถัดไปค่อยรับประทานยานั้น

4. ยารับประทานเวลามีอาการ ควรรับประทานเมื่อมีอาการจริงๆ

ยาในกลุ่มนี้ มักระบุในฉลากว่ารับประทานทุก ๔ – ๖ ชั่วโมง ทุก ๘ ชั่วโมง หรือทุก ๑๒ ชั่วโมง เวลามีอาการ เมื่อมีอาการสามารถรับประทานยาได้เลย ไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร เนื่องจากไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หลังรับประทานยาแล้วถ้ายังมีอาการอยู่สามารถทานยาซ้ำได้ ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ไม่ควรรับประทานบ่อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก เมื่อหายแล้วสามารถหยุดยาได้เลย

หมายเหตุ ยาบางประเภท อาจมีวิธีรับประทานยานอกเหนือไปจากยาโดยทั่วๆ ไปข้างต้น รวมทั้งยาบางประเภทอาจรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แล้วแต่สะดวก เนื่องจากยาอาจมีการออกฤทธิ์ที่พิเศษหรือมีผลข้างเคียงอื่นๆ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ส่งมอบยาเหล่านี้จะอธิบายวิธีการรับประทานเป็นกรณีๆ ไป

เอกสารอ้างอิง

  1. Larry AB, editors. Applied clinical pharmacokinetics. 2nd ed. New York: McGraw-Hill Medical; 2008.
  2. Joseph TD, editors. Concepts in clinical pharmacokinetics. 5th ed. American Society of Health-System Pharmacists; 2010

บทความดีๆจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหิดล--LINK ไปยังแหล่งที่มา

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Tue, 31 May 2016 18:57:19 +0700
7 เคล็ดลับช่วยเลิกบุหรี่ให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว! https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/5-smoke https://chombunghospital.com/cbhsite/index.php/blog/k2/item/5-smoke 7 เคล็ดลับช่วยเลิกบุหรี่ให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว!

เราทุกคนต่างรู้กันดีว่า โทษของการสูบบุหรี่ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไร หากแต่ยังคงมีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่า ไม่รักชีวิตของตนเอง บางคนมีเหตุผลในการสูบบุหรี่เพียงเพราะความเท่ จนในที่สุดก็ติดเป็นนิสัย ขณะที่บางคนอยากเลิกแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร บางคนลองเลิกดูแล้วแต่ก็ทำไม่ได้

จึงขอนำเสนอความรู้ดีๆ ในการเลิกบุหรี่จาก ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ เพื่อช่วยให้คนที่สูบบุหรี่อยู่เข้าใจสถานการณ์การติดของตัวเองอย่างง่ายๆ รวมถึงคนที่มีคนรัก หรือคนในครอบครัวซึ่งตกเป็นทาสของบุหรี่อยู่ ก็สามารถทำความเข้าใจและนำคำแนะนำนี้ไปปรับใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเลิกบุหรี่

ษักรินทร์ เมืองมูล ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเลิกบุหรี่ ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ เล่าว่า ผู้สูบบุหรี่แต่ละคนเลิกบุหรี่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เป็นเหตุผลเฉพาะตน การรู้ว่าตนเองต้องการอะไรจากการเลิกบุหรี่จะช่วยให้เกิดความมุ่งมั่นในการเลิกบุหรี่เพิ่มขึ้น

ซึ่งการติดบุหรี่เกิดจากปัจจัยอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านนิสัยพฤติกรรม คือการสูบบุหรี่ร่วมกับการกระทำบางอย่าง เช่น สูบหลังกินข้าว กินเหล้าแล้วสูบ เป็นต้น ด้านความคิดและอารมณ์ คือ สูบบุหรี่เมื่อมีความคิดหรืออารมณ์บางอย่าง เช่น อารมณ์กังวล เบื่อ โดยทั้ง 2 ด้านนี้รวมเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันของแต่ละคน ด้านร่างกายหรือการติดนิโคติน ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีส่วนประกอบในบุหรี่

แล้วจะเลิกบุหรี่อย่างไรให้สำเร็จ

ษักรินทร์ แนะนำว่า การเลิกบุหรี่ให้สำเร็จนั้น ควรจะหยุดสูบในทันที หรือที่เรียกกันว่า “หักดิบ” พร้อมทำตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

1. ปรับพฤติกรรม เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่พยายามเลิกบุหรี่ด้วยการสูบให้น้อยลงนั้น ในที่สุดจะกลับไปสูบมากขึ้นอย่างเดิม หรือสูบมากกว่าเดิมเสียอีก

โดยในระยะแรกๆ ที่เลิกสูบ มักจะเกิดอาการอยากบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งถือเป็นอาการที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเป็นการเสพติดมาจากพฤติกรรมการสูบเดิม ดังนั้นหากมีอาการอยากสูบบุหรี่ล่ะก็ แนะนำให้หาหมากฝรั่ง ลูกอม หรือดมยาดม เพื่อให้ติดเป็นนิสัยใหม่แทนการสูบบุหรี่ ใช้ หมากฝรั่งนิโคตินมาเคี้ยวจะดีมาก

2.หลีกเลี่ยงสถานที่หรือช่วงระยะเวลาที่เคยสูบบุหรี่อยู่เป็นประจำ เพราะความเคยชินเหล่านั้น อาจจะเป็นสาเหตุทำให้หวนกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง ลองหาสถานที่ใหม่ ๆ หรือเดินออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยได้มากไม่น้อย

3.การดื่มน้ำก็เป็นตัวช่วยที่ดี เช่นกัน คนที่เลิกบุหรี่ควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 10 แก้วหรือปริมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพราะน้ำจะเป็นตัวช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น

4.การเลือกรับประทานอาหาร ผู้ที่เลิกบุหรี่ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท เผ็ด เค็ม มัน หวาน เพราะอาหารประเภทเหล่านี้ก็เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้สูบอยากสูบบุหรี่เช่นกัน ในช่วงที่เลิกบุหรี่ควรรับประทานผักผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว ที่เป็นตัวช่วยที่ดีในการลดอาการอยากสูบบุหรี่ ผลไม้ควรเป็นผลไม้สดเท่านั้น

5.การนำมะนาวมาเป็นตัวช่วย แนะนำให้หันมะนาวทั้งเปลือกเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่กล่องพกติดตัวไว้ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาก็หยิบมะนาวขึ้นมาอมและขณะเวลาอมควรอมช้าๆ และเคี้ยวเปลือกมะนาวแล้วกลืน การทำเช่นนี้จะช่วยได้เพราะรสขมของผิวมะนาวจะช่วยทำให้รู้สึกขมปากขมคอ จนไม่อยากสูบบุหรี่

6.การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายทุกวัน วันละอย่างน้อย 30 นาที เพราะยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ ปอดก็จะยิ่งแข็งแรง นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยให้ร่างกายขับพิษออกมากับเหงื่อได้อีกด้วย

7.การย้ำเตือนตนเอง หากคิดที่จะสูบบุหรี่ขึ้นเมื่อไหร่ ก็ขอให้ย้ำกับตนเองอยู่เสมอว่า ที่เลิกนั้นเพื่ออะไร และให้ทำตามเป้าหมายการเลิกบุหรี่ของตนเองตามที่ตั้งใจไว้ให้ดีที่สุด

สุดท้ายผู้ให้คำปรึกษาด้านการเลิกบุหรี่ ย้ำว่า การเลิกบุหรี่ต้องอาศัยกำลังใจ ความเข้มแข็ง และตั้งใจจริง เพราะบุหรี่ติดง่าย เลิกยาก แต่ไม่มีใครทำไม่ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ การที่เรามีความคิดที่จะเลิกบุหรี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่คิดจะเลิกบุหรี่ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่า 'จิตใจ' ที่เข้มแข็ง เมื่อรวมกับ 'วินัย' ที่ดี ได้แล้ว

"การเลิกบุหรี่ก็ไม่ใช่ฝันที่ไปไม่ถึง และไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย"

หากวิธีข้างต้นยังไม่ได้ผลสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่ สายด่วย 1600 หรือ 032-261592



"อย่ารอช้าทุกวินาทีที่คุณปล่อยไป อาจเป็นวินาทีที่สำคัญในวันข้างหน้า ที่ครอบครัวหรือคนที่รักของคุณไม่อาจเรียกมันกลับมาได้อีกแล้ว"

เรื่องโดย กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th--LINK ไปยังแหล่งที่มา

]]>
cbhospital.rb@gmail.com (Supper User) ความรู้สู่ประชาชน Tue, 31 May 2016 18:57:19 +0700